ทำความรู้จักกับตำนานกล้องและฟิล์ม Kodak ก่อนจะถูกลืม
โกดัก ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในบริษัทที่เก่าแก่มากที่สุดแห่งหนึ่งของสหรัฐฯ ทว่าเมื่อปลายปีที่แล้วเพิ่งติดอันดับจากนิตยสารฟอร์บส์ ให้เป็น 1 ใน 5 แบรนด์ที่คนอเมริกันจะ ‘ลืม’ ชื่อนี้ในปี 2015 แต่ไม่ทันจะถึงปีที่โผออกมา โกดักก็ขอยื่นฟ้องล้มละลาย และคาดว่าต่อจากนี้ชื่อของโกดักอาจจะค่อยๆ หายไปจากตลาด( แต่ผมไม่คิดอย่างนั้น ถ้าอ่านแล้วท่านจะรู้ว่าตำนานไม่ใช่ได้มาเพราะแค่มีมานานครับ เกมส์นี้เพิ่งจะเริ่มครับ )
ในขณะที่เรื่องของกล้อง และการถ่ายภาพเริ่มต้นขึ้นทางฝั่งยุโรปโดยมี เยอรมันเป็นหัวเรือใหญ่นั้น ในปี ค.ศ. 1879 ทางฝั่งอเมริกาเองก็มีบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งที่กำลังค้นคว้าเรื่องของการบันทึก ภาพอย่างขมักเขม้น และภายหลังจากนั้นเขาก็ได้กลายมาเป็นผู้ที่เปลี่ยนแปลงโลกของการถ่ายภาพไป ได้อย่างน่าทึ่ง
ชายผู้นี้ชื่อว่า George Eastman พนักงานธนาคารผู้มีงานอดิเรกคืองานถ่ายภาพแบบสมัครเล่นในเมือง Rochester ได้ทุ่มเทคิดค้นพัฒนาเครื่องจักรสำหรับระบบการเคลือบผิววัสดุเพื่อการถ่าย ภาพเพื่อการผลิตแบบเป็นจำนวนมาก ซึ่งในปี ค.ศ. 1881 เขาและเพื่อนร่วมทุนซึ่งเป็นเจ้าของโรงงานผลิตรถม้าท้องถิ่นชื่อว่า Henry A. ได้จัดตั้งบริษัทโดยใช้ชื่อว่า Eastman Dry Plate ขึ้นในเมืองเล็กๆ ทางทิศเหนือของมหานครนิวยอร์คเพื่อดำเนินการผลิตแผ่นเพลทสำหรับการบันทึกภาพ จนกระทั่งในอีก 2 ปีต่อมา เขาก็ประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหาความด้อยคุณภาพของสารเจลลาตินที่ใช้ เคลือบแผ่นเพลทได้สำเร็จ
ต่อมาในปี ค.ศ. 1855 บริษัท American Film ได้ถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อทำการผลิตสื่อบันทึกภาพชนิดม้วน (ในยุคนั้นยังเป็นกระดาษ) เพื่อให้ง่ายต่อการใช้งานกับกลักฟิล์มยุคแรกที่ใช้ชื่อว่า Eastman-Walker ซึ่งก็ได้ถูกนำมาใช้กับกล้องของ Kodak ตัวแรกด้วย แต่วิสัยทัศน์ของ Eastman ยังไม่หยุดเพียงเท่านั้น เขารู้ดีว่าสื่อบันทึกภาพชนิดโปร่งแสงคืออนาคตขั้นต่อไปที่ควรจะต้องเกิด ขึ้น จึงได้ว่าจ้างนักเคมีที่ชื่อ Henry H. Reichenbach เพื่อมาทำการค้นคว้าและทดลองตามแนวทางของเขา ซึ่งในที่สุดฟิล์มชนิดแผ่นใสก็สำเร็จลุล่วงลงได้ในปี ค.ศ. 1889 ซึ่งก็นับเป็นต้นตระกูลของฟิล์มชนิดม้วนกลักสีเหลืองส้มในอีกนับร้อยปีต่อมา ภายใต้ยี่ห้อ “Kodak” ที่เพิ่งพ้นยุคแห่งความรุ่งเรืองของมันไปเมื่อไม่นานมานี้เอง
ในปี ค.ศ. 1890 กล้อง Kodak ชนิดที่เรียกว่า Folding Camera ที่สามารถถ่ายภาพได้ 48 ภาพก็ออกสู่ตลาดตามมา มันมีขนาดที่เล็กลงเพื่อให้พกพาได้ง่ายมากขึ้น หลังจากนั้นไม่นานเมื่อบริษัทเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นในวงการ เขาก็ได้ทำการเปลี่ยนชื่อบริษัทเสียใหม่โดยใช้ชื่อว่า Eastman Kodak Co.
ปี ค.ศ. 1900 Kodak ประสบความสำเร็จอีกครั้งกับการส่งกล้อง Brownie rollfilm camera ลงสู่ตลาดด้วยราคาเพียง 1$ พร้อมความสามารถในการถ่ายภาพได้ 6 ภาพ ซึ่งกล้องในตระกูลนี้สามารถทำตลาดมาได้เรื่อยอีกกว่า 70 ปี นับจากปีแรกที่มันเปิดตัวออกสู่สาธารณะชน
นับตั้งแต่กล้องตัวแรกในปี ค.ศ. 1888 จนถึงปัจจุบัน Kodak มีกล้องและเลนส์ในสังกัดที่ออกสู่ตลาดกว่าสองร้อยรุ่น รวมทั้งฟิล์มหลากหลายชนิดและขนาดทั้งในอุตสาหกรรมภาพนิ่งและภาพยนตร์
ทว่าบริษัทที่มีอายุเก่าแก่กว่า 132 ปีนี้ มีประวัติความเป็นมาน่าสนใจอย่างไร
- ในยุคทศวรรษ 1970 บริษัทโกดักประสบความสำเร็จมากที่สุดในการขายฟิล์มทั้งในอุตสาหกรรมถารถ่าย ภาพและอุตสาหกรรมหนัง โดยร้อยละ 90 ของฟิล์มที่ใช้ในอเมริกาเป็นของโกดัก
- ชื่อเต็มของโกดักคือ อีสต์แมน โกดัก (Eastman) ชื่อต้น ‘อีสต์แมน’ นั้นมาจากชื่อผู้ก่อตั้งคือ จอร์จ อีสต์แมน
- ที่มาของคำว่าโกดัก มาจาก จอร์จเป็นคนชอบตัว K มาก เขารู้สึกว่ามันเป็น ‘อักษรที่ทรงพลังที่สุด’ ในบรรดาตัวอักษรในภาษาอังกฤษ เขาจึงตั้งชื่อนี้กับผลิตภัณฑ์ของเขา โดยเลือกชื่อนี้จากการเล่นต่อคำในเกมสแครบเบิลกับแม่ของเขา โดยมีเงื่อนไขว่า หนึ่ง, ชื่อนี้ต้องสั้น สอง, ใครๆ ก็ออกเสียงได้ และสาม, มันต้องเป็นชื่อที่ทำให้คนนึกถึงอย่างอื่นไม่ได้นอกจาก ‘โกดัก’ (ซึ่งตอนที่เล่นนั้นยังไม่มีชื่อนี้)
- สิ่งที่ทำให้โกดักประสบความสำเร็จอย่างมากในยุคทศวรรษ 1970 นั่นคือใช้ หลักการขายแบบขายใบมีดโกน (Razor-Blade Strategy) คือขายกล้องให้ถูก แต่หวังรายได้จากการขายฟิล์ม น้ำยาเคมี และกระดาษแทน
- เมื่อมองย้อนกลับไป ก็เป็นเรื่องน่าตลกดีเกี่ยวกับชะตาชีวิตของโกดัก เพราะจริงๆ แล้ว โกดักเป็นแบรนด์แรกในตลาดที่เป็นผู้คิดค้นกล้องถ่ายรูปดิจิตอล แต่วางจำหน่ายในชื่อของ Apple โดยใช้ชื่อว่า Quick Take ออกวางจำหน่ายในปี 1994
- ในปี 2007 โกดักยังครองส่วนแบ่งในตลาดกล้องดิจิตอลในอเมริกาในลำดับที่ 4 แต่ก็เริ่มมีปัญหา เพราะคนใช้ฟิล์มน้อยลงเรื่อยๆ จนกระทั่งประกาศล้มละลายในปีนี้ หลังจากขาดทุนอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลา 3 ปี
- ทว่าสำหรับ โกดัก เธียเตอร์ ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานประกาศผลรางวัลออสการ์ และอเมริกันไอดอล จะยังใช้ชื่อนี้ต่อไป
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น